รักแรกพบ” มีหลายสีบางสีหอม
รักแรกพบ เป็นไม้มีถิ่นกำเนิดจากประเทศออสเตรเลีย ถูกนำเข้ามาขยาย พันธุ์ปลูกในประเทศไทยนานกว่า 3 ปีแล้ว สามารถเติบโตและมีดอกสวยงาม เหมือนปลูกในประเทศออสเตรเลียทุกอย่าง ลักษณะเป็นไม้พุ่มต้นสูง 1-3 เมตร ลำต้นกลม เปลือกบาง สีนํ้าตาลเทา แตกกิ่งก้านตํ่าหนาแน่นเป็นพุ่มกว้าง ใบเป็นใบ เดี่ยว ออกเวียนสลับรอบลำต้น ปลายใบแหลม โคนใบป้าน หรือแหลม แคบ ผิวใบ เรียบ ใบอ่อนหรือยอดอ่อนเป็นสีนํ้าตาลแดง ใบแก่เป็นสีเขียวสด เวลาแตกยอดอ่อน หรือกิ่งก้านเยอะ สีของใบจะน่าชมยิ่ง
ดอก ออกเป็นช่อตามซอกใบและปลายกิ่ง ลักษณะช่อดอกเป็นพุ่ม แต่ละช่อประกอบด้วยดอกย่อยจำนวนมาก ดอกโคนเชื่อมกันเป็นหลอด ปลายแยก เป็นกลีบดอก 5 กลีบ เนื้อกลีบค่อนข้างหนาและแข็ง ใจกลางดอกมีเกสรตัวผู้ จำนวนมากโผล่พ้นกลีบดอกทำให้เวลา มีดอกดูคล้ายดอกของชมพู่ มะเหมี่ยว หรือ ดอก แลนทอชเทอร์นอ ล พันธุ์ไม้ในกลุ่มเดียวกัน และมีถิ่นกำเนิดจากประเทศ ออสเตรเลียเหมือนกัน เพียงแต่ดอกของ “รักแรกพบ” มีหลายสีคือสีแดง (ดูภาพประกอบคอลัมน์) สีเหลือง และสีชมพู โดยชนิดพันธุ์ที่มีดอกเป็น สีชมพู จะมีลักษณะพิเศษกว่าสี อื่น เพราะจะมีกลิ่นหอมเย็นชื่นใจ มาก
ดอก ของ “รักแรกพบ” ออกตลอดปี ดอกบานได้นานประมาณ 1 อาทิตย์ ขยายพันธุ์ด้วยวิธีตอนกิ่ง และ ปักชำกิ่ง ปัจจุบันต้น “รักแรกพบ” มีขายที่ ตลาด นัดไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ แผง “คุณตุ๊ก” หน้าตึกกองอำนวยการ ราคาสอบ ถามกันเอง
การปลูกต้นรักแรกพบ นิยมปลูก 2 รูปแบบคือ ปลูกลงดินกลางแจ้งเป็นกลุ่มหลายๆต้น โดยบริเวณที่จะปลูกต้องยกดินสูง เพราะเป็นไม้ไม่ชอบนํ้าท่วมขัง กับปลูกลง กระถางขนาดใหญ่ทำทางระบายนํ้าก้นกระถางให้ดีอย่าให้มีการท่วมขังอย่างเด็ด ขาด ปลูกได้ในดินทั่วไป ลักษณะเป็นไม้เติบโตเร็ว หลังปลูกรดนํ้าพอชุ่มไม่ถึงแฉะ เช้า เย็น บำรุงปุ๋ยมูลสัตว์จำพวกขี้วัวหรือขี้ควายแห้ง โรย ตามหน้าดินบริเวณโคนต้น เดือนละครั้ง สลับกับการใส่ปุ๋ยสูตร 16-16-16 ครึ่งเดือนครั้ง จะทำให้ต้น “ รักแรกพบ” มีดอกไม่ขาดต้น โดยเฉพาะถ้าปลูกทุกๆ สี จะดูสวยงามมาก หลังดอก ร่วงต้องตัดแต่งกิ่งทันที จะทำให้มียอดใหม่แตกขึ้นมาทดแทนและ มีดอกได้รวดเร็วขึ้นครับ
วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2553
พิษภัยจากต้นไม้
ชวนชม
ยางสีขาวขุ่นที่มีในทุกส่วนของต้น มีสารพิษ abobioside และ abomonoside ซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของหัวใจ หัวใจจะเต้นเร็วกว่าปกติ
น้ำคั้นจากกิ่งอ่อน หากกินเข้าไปจะทำให้เป็นตะคริว หรืออัมพาตที่กรามและกระเพาะปัสสาวะเคยใช้เบื่อปลา และผสมเป็นยาพิษอาบหัวลูกดอก
ส่วนที่เป็นพิษ น้ำยางจากทุกส่วนของต้น
อาการ
โดยการสัมผัส ทำให้เกิดผื่นคัน
โดยการกิน ทำให้กรามเป็นตะคริว หัวใจเต้นเร็วและแรงขึ้น อาจทำให้หัวใจวายได้สำหรับคนแพ้
บานบุรี
มีสารพิษ triterpinoid และ staphtlococus ซึ่งเป็นพิษต่อเด็กมาก
ส่วนที่เป็นพิษ น้ำยางจากทุกส่วนของต้น
อาการ
โดยการสัมผัส ทำให้เกิดผื่นคัน หรือกัดผิวหนังจนเกิดแผล
โดยการกิน ทำให้เกิดอาการระคายเคืองของเยื่อบุในช่องปากและกระเพาะอาหาร ทำให้อาเจียน ท้องเดิน ท้องร่วงอย่างรุนแรง
แพงพวยฝรั่ง
พิษที่พบ คือ vinceine, sterols,carotinoids, ursolicacid, reserpine และ rescinnamine
ส่วนที่เป็นพิษ น้ำยางจากราก
อาการ
โดยการกิน ทำให้เกิดอาการประสาทหลอน น้ำเคี่ยวจากรากมีสารพิษที่เป็นอันตรายกับหญิงมีครรภ์ อาจทำให้แท้งได้
ยี่โถ
ราก เปลือก และเมล็ดมีสารพิษ nerin, oleandrin และ folinerin ซึ่งเป็นพิษต่อหัวใจ
มีฤทธิ์กดการหายใจ
ใบทำให้คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศรีษะ
ส่วนที่เป็นพิษ น้ำยางจากทุกส่วนของต้น ราก เปลือก และเมล็ด
อาการ
โดยการสัมผัส ทำให้เกิดผื่นคัน หรือกัดผิวหนังเป็นแผลพุพอง
โดย การกิน ทำให้ปวดเกร็งช่องท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ลำไส้อักเสบ ท้องเสีย ถ่ายเป็นเลือด เวียนศรีษะ ง่วงนอน ม่านตาขยาย เป็นพิษต่อหัวใจ ชีพจรเต้นช้า ชักและอาจเสียชีวิตได้
ลั่นทม
สารพิษที่พบคือ plumeric acid
ส่วนที่เป็นพิษ น้ำยางจากทุกส่วนของต้น
อาการ
โดยการสัมผัส ทำให้เกิดผื่นคัน ผิวหนังอักเสบ บวมแดง
โดยการกิน เป็นโทษต่อหญิงมีครรภ์ ทำให้มดลูกบีบตัว อาจเกิดอาการแท้ง
พลูด่าง
ส่วนที่เป็นพิษ น้ำยางจากทุกส่วนของต้น
อาการ
โดยการสัมผัส ทำให้ระคายเคืองผิวหนัง เกิดผื่นคัน
โดยการกิน จะทำให้คันปาก ปากและทางเดินอาหารอักเสบ
หูปลาช่อน
ส่วนที่เป็นพิษ ทุกส่วนของต้น
อาการ
โดยการสัมผัส ทำให้ระเคือง คัน ผิวหนังบวมแดง หากถูกตาอาจทำให้เยื่อบุตาอักเสบได้
โดยการกิน ทำให้คลื่นไส้อาเจียน ท้องเดินอย่างรุนแรง
โป๊ยเซียน
ส่วนที่เป็นพิษ น้ำยางจากทุกส่วนของต้น
อาการ
โดยการสัมผัส ทำให้เกิดผื่นคัน ผิวหนังพองเป็นแผล ถ้าเข้าตาทำให้เยื่อบุตาอักเสบ
โดยการกิน ทำให้ระคายเคืองในปาก ลำคอและกระเพาะอาหาร
ปัตตาเวีย
ต้นมีน้ำยางสีขางขุ่นที่มีพิษ คือ สารในกลุ่ม diterpene ester เช่น phorbol ที่จะระคายเคืองผิวหนัง
ส่วนที่เป็นพิษ น้ำยางจากทุกส่วนของต้น และผล
อาการ
โดย การสัมผัส ทำให้เกิดผื่นคัน ผิวหนังบวมแดง เกิดแผลพุพอง หากโดนตา จะทำให้เยื่อบุตาอักเสบ หนังตาบวม อาจมีอาการตาบอดชั่วคราวได้
โดยการกิน ทำให้คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง ท้องร่วง หรือถ่ายเป็นเลือด
ยางสีขาวขุ่นที่มีในทุกส่วนของต้น มีสารพิษ abobioside และ abomonoside ซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของหัวใจ หัวใจจะเต้นเร็วกว่าปกติ
น้ำคั้นจากกิ่งอ่อน หากกินเข้าไปจะทำให้เป็นตะคริว หรืออัมพาตที่กรามและกระเพาะปัสสาวะเคยใช้เบื่อปลา และผสมเป็นยาพิษอาบหัวลูกดอก
ส่วนที่เป็นพิษ น้ำยางจากทุกส่วนของต้น
อาการ
โดยการสัมผัส ทำให้เกิดผื่นคัน
โดยการกิน ทำให้กรามเป็นตะคริว หัวใจเต้นเร็วและแรงขึ้น อาจทำให้หัวใจวายได้สำหรับคนแพ้
บานบุรี
มีสารพิษ triterpinoid และ staphtlococus ซึ่งเป็นพิษต่อเด็กมาก
ส่วนที่เป็นพิษ น้ำยางจากทุกส่วนของต้น
อาการ
โดยการสัมผัส ทำให้เกิดผื่นคัน หรือกัดผิวหนังจนเกิดแผล
โดยการกิน ทำให้เกิดอาการระคายเคืองของเยื่อบุในช่องปากและกระเพาะอาหาร ทำให้อาเจียน ท้องเดิน ท้องร่วงอย่างรุนแรง
แพงพวยฝรั่ง
พิษที่พบ คือ vinceine, sterols,carotinoids, ursolicacid, reserpine และ rescinnamine
ส่วนที่เป็นพิษ น้ำยางจากราก
อาการ
โดยการกิน ทำให้เกิดอาการประสาทหลอน น้ำเคี่ยวจากรากมีสารพิษที่เป็นอันตรายกับหญิงมีครรภ์ อาจทำให้แท้งได้
ยี่โถ
ราก เปลือก และเมล็ดมีสารพิษ nerin, oleandrin และ folinerin ซึ่งเป็นพิษต่อหัวใจ
มีฤทธิ์กดการหายใจ
ใบทำให้คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศรีษะ
ส่วนที่เป็นพิษ น้ำยางจากทุกส่วนของต้น ราก เปลือก และเมล็ด
อาการ
โดยการสัมผัส ทำให้เกิดผื่นคัน หรือกัดผิวหนังเป็นแผลพุพอง
โดย การกิน ทำให้ปวดเกร็งช่องท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ลำไส้อักเสบ ท้องเสีย ถ่ายเป็นเลือด เวียนศรีษะ ง่วงนอน ม่านตาขยาย เป็นพิษต่อหัวใจ ชีพจรเต้นช้า ชักและอาจเสียชีวิตได้
ลั่นทม
สารพิษที่พบคือ plumeric acid
ส่วนที่เป็นพิษ น้ำยางจากทุกส่วนของต้น
อาการ
โดยการสัมผัส ทำให้เกิดผื่นคัน ผิวหนังอักเสบ บวมแดง
โดยการกิน เป็นโทษต่อหญิงมีครรภ์ ทำให้มดลูกบีบตัว อาจเกิดอาการแท้ง
พลูด่าง
ส่วนที่เป็นพิษ น้ำยางจากทุกส่วนของต้น
อาการ
โดยการสัมผัส ทำให้ระคายเคืองผิวหนัง เกิดผื่นคัน
โดยการกิน จะทำให้คันปาก ปากและทางเดินอาหารอักเสบ
หูปลาช่อน
ส่วนที่เป็นพิษ ทุกส่วนของต้น
อาการ
โดยการสัมผัส ทำให้ระเคือง คัน ผิวหนังบวมแดง หากถูกตาอาจทำให้เยื่อบุตาอักเสบได้
โดยการกิน ทำให้คลื่นไส้อาเจียน ท้องเดินอย่างรุนแรง
โป๊ยเซียน
ส่วนที่เป็นพิษ น้ำยางจากทุกส่วนของต้น
อาการ
โดยการสัมผัส ทำให้เกิดผื่นคัน ผิวหนังพองเป็นแผล ถ้าเข้าตาทำให้เยื่อบุตาอักเสบ
โดยการกิน ทำให้ระคายเคืองในปาก ลำคอและกระเพาะอาหาร
ปัตตาเวีย
ต้นมีน้ำยางสีขางขุ่นที่มีพิษ คือ สารในกลุ่ม diterpene ester เช่น phorbol ที่จะระคายเคืองผิวหนัง
ส่วนที่เป็นพิษ น้ำยางจากทุกส่วนของต้น และผล
อาการ
โดย การสัมผัส ทำให้เกิดผื่นคัน ผิวหนังบวมแดง เกิดแผลพุพอง หากโดนตา จะทำให้เยื่อบุตาอักเสบ หนังตาบวม อาจมีอาการตาบอดชั่วคราวได้
โดยการกิน ทำให้คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง ท้องร่วง หรือถ่ายเป็นเลือด
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
ไอเดียจากกล่องซีดี
ข้อมูลต้นไม้
ช้องนาง
ไม้พุ่มสูง 1-2 เมตร แตกกิ่งก้านเป็นพุ่ม ออกดอกตลอดปี เป็นต้นไม้สีม่วงที่งดงามสดุดตามากชนิดหนึ่งขยายพันธุ์ด้วยวิธีตัดกิ่ง ปักชำหรือตอน เป็นพันธุ์ไม้ที่ปลูกได้ทั้งในที่กลางแจ้งและร่มรำไร ชอบดินร่วนซุยที่มีความชื้นสม่ำเสมอ ชอบปุ๋ยหมักมากกว่าปุ๋ยคอก
ลักษณะแปลกอยู่อย่างของช้องนางคือชอบคว่ำดอกลงหาดิน เพราะมีก้านดอกเล็กมาก ทำให้รับน้ำหนักทรงดอกอยู่ไม่ได้ ช้องนางมีอยู่ 2 พันธุ์คือ Thunbergia affinis พันธุ์ดอกใหญ่ และพันธุ์ดอกเล็ก Thunbergiaerecta
ถั่วบราซิล
ถั่วบราซิล
ถั่วปิ่นโต ถั่วลิสงเถา หรือถั่วเปรู มีชื่อทางการค้าว่า "ถั่วอมาริลโล" นี้ มีถิ่นกำเนิดในแถบตอนกลางของประเทศบราซิล ลักษณะคล้ายต้นถั่วลิสง แต่มีใบเล็กกว่าและมีลำต้นเลื้อยไปตามดิน มีรากแก้วแข็งแรง ขึ้นได้ดีในดินหลายสภาพ ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดหรือใช้ท่อนพันธุ์ มีคุณสมบัติเด่น เป็นพืชคลุมดิน ทนแล้ง ทนร่มเงา ทนต่อการเหยียบย่ำ มีดอกสีเหลืองสวยงามเหมาะสำหรับจัดสวนประดับและปลูกแทนสนามหญ้า
(ข้อมูลจากโครงการพัฒนาที่ดินที่สูง แม่ริม เชียงใหม่)
ไม้พุ่มสูง 1-2 เมตร แตกกิ่งก้านเป็นพุ่ม ออกดอกตลอดปี เป็นต้นไม้สีม่วงที่งดงามสดุดตามากชนิดหนึ่งขยายพันธุ์ด้วยวิธีตัดกิ่ง ปักชำหรือตอน เป็นพันธุ์ไม้ที่ปลูกได้ทั้งในที่กลางแจ้งและร่มรำไร ชอบดินร่วนซุยที่มีความชื้นสม่ำเสมอ ชอบปุ๋ยหมักมากกว่าปุ๋ยคอก
ลักษณะแปลกอยู่อย่างของช้องนางคือชอบคว่ำดอกลงหาดิน เพราะมีก้านดอกเล็กมาก ทำให้รับน้ำหนักทรงดอกอยู่ไม่ได้ ช้องนางมีอยู่ 2 พันธุ์คือ Thunbergia affinis พันธุ์ดอกใหญ่ และพันธุ์ดอกเล็ก Thunbergiaerecta
ถั่วบราซิล
ถั่วบราซิล
ถั่วปิ่นโต ถั่วลิสงเถา หรือถั่วเปรู มีชื่อทางการค้าว่า "ถั่วอมาริลโล" นี้ มีถิ่นกำเนิดในแถบตอนกลางของประเทศบราซิล ลักษณะคล้ายต้นถั่วลิสง แต่มีใบเล็กกว่าและมีลำต้นเลื้อยไปตามดิน มีรากแก้วแข็งแรง ขึ้นได้ดีในดินหลายสภาพ ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดหรือใช้ท่อนพันธุ์ มีคุณสมบัติเด่น เป็นพืชคลุมดิน ทนแล้ง ทนร่มเงา ทนต่อการเหยียบย่ำ มีดอกสีเหลืองสวยงามเหมาะสำหรับจัดสวนประดับและปลูกแทนสนามหญ้า
(ข้อมูลจากโครงการพัฒนาที่ดินที่สูง แม่ริม เชียงใหม่)